เทศน์เช้า วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ศาสนาพุทธ เห็นไหม ศาสนาแห่งปัญญา สอนให้มีสติสัมปชัญญะ ถ้าไม่มีเหตุการณ์วิกฤติมันก็ไม่ตื่นเต้น ถ้ามีเหตุการณ์วิกฤตินะ ไม่มีสติสัมปชัญญะเลย ตื่นเต้นไปกับเขาหมดเลยนะ นี่ความเป็นไปของโลก โลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดมันไม่เป็นอนิจจังทั้งหมดหรอก แม้แต่ชีวิตเราวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้นะ ชีวิตนี่อายุการใช้งานไง แม้แต่วัตถุก็ยังมีเสื่อมค่า เสื่อมสภาพ มีอายุการใช้งาน แต่ชีวิตเรา อายุการใช้งานของอายุเราขนาดไหน?
ถ้าอายุการใช้งาน เห็นไหม โลกนี้อนิจจัง คำว่าอนิจจังมันแปรสภาพตลอดเวลา คำว่าแปรสภาพนะ ถ้าเราตั้งสติแล้วมาดูตรงนี้ มาดูชีวิตของเรา ไอ้หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงานนะ หน้าที่การงานเราต้องอาศัย ต้องเป็นไป แต่มันไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนเกินไปไง แต่นี้เพราะมันไปเอาโลกเป็นใหญ่ พอโลกเป็นใหญ่ก็วัดค่ากันที่วัตถุ พอวัดที่วัตถุนะว่าสิ่งใดมีมากมีน้อย มีมากมีน้อยถ้าเป็นธรรมมันเป็นสัมภาระ มันเป็นภาระหน้าที่ไง ภาระที่ต้องแบกความรับผิดชอบ
ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่โลกมันเป็นวัตถุ เวลาเก็บข้าวเก็บของเก็บเข้าที่มันต้องใช้สถานที่ ความรู้สึกมันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมมันก็เป็นวัตถุอันหนึ่งถ้าเป็นนักปฏิบัตินะ แต่ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นฆราวาส เราเป็นมนุษย์ นี่สิ่งที่เป็นนามธรรมแทบจับต้องไม่ได้เลย จับต้องไม่ได้เลยถึงทำอะไรกันไม่ได้ไง แต่ถ้าเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นสมาธิจิตมันสงบเข้ามา มันก็รู้ของมันนะว่าจิตสงบเข้ามา
จิตสงบ ปัญญาเวลาก้าวเดินปัญญาก็รู้ว่าเป็นปัญญา ปัญญาผิด ปัญญาถูก มันก็รู้ว่าเป็นปัญญาผิดหรือปัญญาถูกนะ มันตั้งเป้าหมายไว้ผิด เห็นไหม สัมมาทิฏฐิ มรรค ๘ สัมมาทิฏฐิ ทิฐิความถูกต้องเริ่มต้นเลย แต่นี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิเพราะอะไร? มิจฉาทิฏฐิเพราะศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วตั้งเป้า นี่เอาสิ่งนั้นมาเป็นกรอบ มันไม่ใช่ตั้งเป้า ถ้าตั้งเป้าเป็นอธิษฐานบารมี แต่ตั้งเป็นกรอบไง เป็นกรอบกลัวผิดพลาด กลัวทุกๆ อย่างไปหมดเลย กรอบอันนั้นมันทำให้เราเป็นไปไม่ได้
นี่มิจฉาทิฏฐิ ทั้งๆ ที่ว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ถูกต้อง แต่เพราะความศึกษาของเรา ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เราสร้างกติกาไว้ปิดกั้นตัวเอง มรรคต้องเป็นอย่างนั้น สมาธิต้องเป็นอย่างนั้น สติต้องเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เป็นอย่างนั้นนะ แล้วจิตมันเป็นสภาวะที่มันเป็นนามธรรม มันเป็นไปได้หมด ถึงเป็นอุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียด กิเลสอย่างหยาบๆ กิเลสโดยเปลือก โดยเปลือกคือขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ...
รูปคืออารมณ์ความรู้สึก ที่มันคิดขึ้นมานี่เป็นรูปแล้ว เวทนาคือความพอใจและไม่พอใจ สัญญาคือข้อมูล สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง ที่มันเสริมรูป วิญญาณรับรู้ขึ้นไป เห็นไหม นี่สิ่งนี้มันเป็นกิเลสอย่างหยาบๆ กิเลสอย่างหยาบๆ คือว่ามันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ที่มันมีอยู่แล้ว สามัญสำนึกของมนุษย์นี่ทำให้เราคิด มันเป็นการจุดประกาย แล้วคิดต่อเนื่องไม่มีวันจบเห็นไหม มันเลยเป็นความทุกข์ มันเป็นความทุกข์ว่าหักพร้าไม่ได้ ถึงเก็บเป็นความเครียดเลย
แต่ถ้าเป็นอุปกิเลส จิตมันสงบเข้ามาจากเปลือก จากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เข้าไปถึงตัวจิต ตัวจิตนี่ความสว่างไสว ความผ่องใส โอภาสความเป็นไปของจิตมันเป็นกิเลสอีกแหละ มันเป็นอุปกิเลส แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันเป็นโอภาส มันเป็นความสว่างไสว มันเป็นความรู้สึก นี่มันเป็นญาณ มันเป็นกิเลส แต่ความรู้สึกของเราว่ามันเป็นญาณเพราะอะไร? เพราะทิฐิไง มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความไม่เข้าใจของจิต จิตมันไม่เคยเข้าใจ มันไม่เคยประสบสัมผัส มันไม่เคยสัมผัสของจิต เห็นไหม นี่ถึงว่านามธรรมที่จับต้องไม่ได้
แต่ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติ นามธรรมนี่จับต้องได้ แล้วนามธรรมนี่คงที่ นามธรรมนี่คงที่เลย เพราะอะไร? เพราะมันไม่เกิดไม่ตายต่อไปไง แต่ที่ปัจจุบันนี้มันต้องเกิดต้องตายเพราะอะไร? เพราะสิ่งที่เป็นพลังงานที่คงที่ แต่มันมีความรู้สึกของเปลือก เห็นไหม ของเปลือกคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เปลือกอันนี้มันมีสี แสง เปลือกอันนี้มันมีเชื้อไข มันมีพลังงาน มันขับเคลื่อนไป
ไอ้ตัวจิตแท้ๆ มันอยู่ในเปลือกที่ครอบงำอันนี้ เปลือกครอบงำอันนี้ เห็นไหม สิ่งที่มันทำความสะอาดแล้ว สิ่งที่เป็นนามธรรมแต่จับต้องได้ พิสูจน์ได้ รู้สึกได้ สัมผัสได้ ความสัมผัสอันนี้ ถึงบอกว่าสิ่งนี้มันเป็นความรู้สึกจากภายใน จะเอามาสื่อสารกันได้อย่างไร?
สื่อสาร เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ออกมามันเปรียบเทียบทั้งนั้นนะ มันเป็นข้อมูลเปรียบเทียบไง มันเป็นตัวอย่าง มันเป็นสมมุติอันหนึ่ง สมมุติที่สื่อภาษาออกมาสื่อกัน แล้วเราประพฤติปฏิบัติเข้าไป ตาสบตานี่ เอ๊อะ เอ๊อะ อันนั้นเป็นความจริงนะ ความจริงมันเป็นสัจจะความจริงภายใน มันเอาออกมามันเหนือสมมุติไง มันออกมาเป็นสมมุติบัญญัติไม่ได้ แต่! แต่ถ้าคนไม่เป็นพูดออกไป เห็นไหม
นี่คนตาบอดนะ เวลาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดถูกก็ได้ พูดผิดก็ได้ คำว่าพูดถูกนี่พูดไปแล้วมันไปตรงกับทฤษฎีไง ตรงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราฟังแล้วมันก็คิดว่าถูก พูดผิดก็ได้ ผิดเพราะอะไร? เพราะตาบอด ตาบอดไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยสัมผัส จิตไม่เคยสัมผัสสมาธิ จิตไม่เคยสัมผัสปัญญา จิตไม่เคยมีความรู้อะไรขึ้นมาเลย แต่สิ่งต่างๆ มันคิดมาโดยจินตนาการ โดยความรู้สึกของตัว เห็นไหม พูดออกมานี่ผิดหมดแหละ
ดูสิชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อถือ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ เราคิดของเราว่าเป็นอย่างนั้นนะ แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นไปเป็นตามความจริง ถ้าเขาชี้ไม้เป็นนกเราจะยอมรับไหม? ถ้าเขาชี้นกเป็นไม้ นั้นมันกลับกัน เห็นไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอก ชี้นกก็คือต้องเป็นนก ชี้ไม้ก็ต้องเป็นไม้ ไม้ก็คือไม้ นกก็คือนก ถ้าสัมผัสเข้าไปตามความเป็นจริง มันเป็นสภาวะเป็นอย่างนั้นนะ มันถึงสิ่งที่เป็นความจริง
ความจริงอย่างนี้มันกลับไม่มีความเสื่อมสภาพ อายุการใช้งานมันไม่มี ชีวิตเรานี่คืออายุการใช้งาน มิติหนึ่ง มนุษย์ภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง นี่อายุการใช้งานของมัน แล้วเราจะยืดอายุการใช้งานของมัน เห็นไหม พยายามออกกำลังกายกัน ทำให้ชีวิตนี้แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งนี้เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งาน แต่มันเป็นไปตามสภาวะแบบนั้นนะ
ชีวิตมีการพลัดพรากเป็นที่สุด
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถึงที่สุดแล้วมันต้องแปรสภาพไปเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดานะ แต่เราวิตกกังวล พอเป็นธรรมดาขึ้นมา นี่ถ้าเราศึกษาธรรม เรามีหลักเกณฑ์ของเรา เห็นไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่เราเตรียมตัวพร้อม เรามีบุญกุศล เราได้สร้างสิ่งที่อบอุ่นใจของเราขึ้นมา
เวลาเดินทางเราต้องมีเงินมีทองเพื่อจะเดินทาง เพื่อจะใช้สอยนะ เวลาจิตมันจะเคลื่อนออกไปจากใจ นี่เวลาเราคิดถึงความรู้สึกเราสิ เราวิตกกังวลไหม? เราลังเลสงสัยไหม? กับจิตที่มันได้สร้างสมของมันมา เวลามันออกไปมันจะวิตกกังวลไหม? มันพร้อมจะเดินทางนะ มันมีเสบียงของมัน มันมีสิ่งที่ไปกับจิต เพราะอะไร? เพราะบาปบุญคุณโทษมันอยู่ที่จิต มันอยู่ที่ความรู้สึกไง
ความรู้สึกมันอยู่ที่จิต ความรู้สึกอันนี้เป็นเปลือก แต่มันไปจากพลังงานตัวนั้น พลังงานตัวนั้นคือตัวจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส เห็นไหม พลังงานที่ผ่องใส พลังงานที่เป็นไปมันเป็นกิเลส มันเป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชาแล้วใครเห็นมัน?
ไม่มีใครเห็นมันหรอก สิ่งที่เห็นเห็นไม่ได้ เห็นด้วยจินตนาการ เห็นไหม ดูสิเหมือนทางการแพทย์เขาผ่าตัดอยู่ทุกวันแหละ เขารักษาคนไข้ทุกวัน เขาไม่เคยเห็นกาย แม้แต่มือจับอยู่นี่เขายังไม่เห็นกายเลย เพราะเขาเห็นกายด้วยตาเนื้อ แต่ถ้าจิตมันเห็นกาย จิตมันสงบเข้าไปแล้วมันเห็นกายจากความจริง จากข้อเท็จจริงของมัน
ถ้าจิตมันเห็นกายตามข้อเท็จจริง เห็นไหม นี่เห็นกายโดยข้อเท็จจริงมันคืออะไร? ถ้าว่าเป็นสัญญา สัญญาก็เป็นเปลือกของใจใช่ไหม? แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงมันเป็นปัจจุบัน มันเป็นปัจจุบันไม่ใช่สัญญา สัญญาคือข้อมูลที่เราคิด เรานึก เราเปรียบเทียบ นั้นคือสัญญา แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ? มันเป็นความจริงมันเกิดจากจิต มันเป็นปัจจุบัน มันไม่ใช่สัญญา ถ้าไม่ใช่สัญญามันไม่ใช่ข้อมูลเปรียบเทียบ ไม่ใช่สัญญามันเป็นปัจจุบัน
ปัจจุบันมันมาจากไหน? มันก็มาจากพลังงานตัวนั้น ถ้าพลังงานตัวนั้นมันสะเทือนพลังงานตัวนั้นไง มันสะเทือนถึงกิเลส เพราะอะไร? เพราะทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมนี่นะ แต่มันเปรียบเทียบ ข้อมูลเปรียบเทียบมันสื่อความหมายเข้าถึงตัวใจไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นปัจจุบันมันสะเทือนหัวใจดวงนั้น แล้ววิปัสสนาไปมันแยก มันแปรสภาพ เห็นไหม นี่อนิจจังจากข้างนอก อนิจจังจากข้างใน
สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
ความเป็นอนัตตาของมัน แม้แต่อนิจจังมันก็แปรสภาพ แล้วความรู้สึกในอนิจจังนั้นคือความทุกข์ คือความเข้าใจในสิ่งที่เป็นภาพเห็นนั้น มันเป็นอนัตตา อนัตตามันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป คำว่าเป็นอนัตตานี่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เราก็คิดถึงพลังงาน เห็นไหม พลังงานที่มันมีอยู่มันก็ต้องแปรสภาพไปเป็นธรรมดา
พลังงาน เห็นไหม ดูสิดูดวงอาทิตย์มันหมุนไป มันเคลื่อนไป มันเป็นธรรมดา ทุกอย่างเป็นธรรมดาหมดเลย มันเป็นอนิจจัง มันเป็นอนัตตาของมันอยู่แล้ว แต่เราไม่เข้าใจ เราไม่เห็นเรื่องสภาวะโลกภายนอก สภาวะโลกภายในไง ความเป็นไปจากภายนอก ความเป็นไปจากภายใน อนิจจังข้างนอก อนิจจังข้างใน
นี่ชีวิตนี้มันแปรสภาพอย่างนี้ธรรมดา สิ่งที่เป็นธรรมดา ถ้าจิตมันเห็นธรรมดานะมันคงที่ของมัน มันอยู่สภาวะของมัน มันไม่ตื่นเต้น ไม่เป็นภาระแบกหามของมัน มันจะไม่ตื่นเต้นไปกับเขานะ แต่ดูสิครูบาอาจารย์เราที่สิ้นกิเลสแล้ว เห็นไหม อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก มันเป็นธรรมดาอย่างนี้ มันเป็นสภาวะอย่างนี้ แต่เวลาอชาตศัตรูจะออกทัพจับศึก ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สิ่งที่ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สิ่งนั้นควรเป็นอย่างไร? นี่จะไปตีลิจฉวี จะไปตีแตกหรือไม่แตก?
ไม่แตก ตีเขาไม่ได้หรอก
ตีเขาไม่ได้เพราะอะไร? เพราะเขาสมานสามัคคี เขามีคุณธรรมของเขา เขาเคารพผู้ใหญ่ เขาหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เขาเชื่อกติกา เขาเคารพกติกากัน เขามีความสามัคคีกัน ตีอย่างไรก็ไม่แตก เห็นไหม ให้พราหมณ์ไปยุแหย่
นี่ดวงตาของโลกไง ดวงตาของโลก ผู้ที่อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก แต่ชี้นำโลกได้ ชี้นำโลกได้ตั้งแต่สายบุญสายกรรมที่เขาเชื่อถือ เขาศรัทธา เขาเป็นไป เขาแก้ไขได้ ดูสิเรายืนอยู่ ตากแดด ตากฝน ถ้าเราเดินหลบเข้าร่ม เราก็ไม่ตากแดด ตากฝน
ชีวิตก็เหมือนกัน ถ้าเราใช้ความรู้สึกของเรา เราคิดด้วยความเห็นของเรา มันตากแดด ตากฝนไปสภาวะแบบนั้น มันตากแดดตากฝนเพราะมันเป็นความคิดของเรา มันเป็นกระแสสังคม เราไปตามกระแสสังคม เห็นไหม แต่ถ้าเราเข้าร่มล่ะ? เราเข้าร่มของเรา เราไม่ตากแดด ตากฝน เราก็มีชีวิตอยู่ในสังคมเหมือนกัน
นี่สิ่งที่ช่วยโลกคือช่วยโลกอย่างนี้ ช่วยโลกคือเปลี่ยนแปลงความเป็นไปได้ แต่สิ่งนี้มันก็เป็นอนิจจังในตัวมันเอง เห็นไหม แต่ถ้าเราย้อนกลับเข้ามาในตัวของเรา ย้อนกลับเข้ามาในความรู้สึกของเรา ย้อนกลับมาที่ใจของเรา ถ้าเราแก้ไขสิ่งนี้ นี่อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ดูสิเราทานอาหารเข้าไป อิ่มท้องเข้าไป มีความรู้สึกเรา มันจะเป็นสมบัติของใคร? เป็นสมบัติของผู้กินนั้น
นี่ก็เหมือนกัน จิตดวงใดมันมีการแปรสภาพ จิตดวงใดมันมีการกระทำ จิตดวงใดมีความรู้สึกความสงบของใจขึ้นมา แล้วจิตดวงนั้นได้ออกวิปัสสนาของมันนะ ถ้าจิตดวงนั้นไม่ได้ออกวิปัสสนา เห็นไหม เรากินอาหารเข้าไปแล้วนี่อิ่มท้อง แต่พอมันย่อยสลายไป อาหารมันย่อยสลายเข้าไป เราก็ต้องกินซ้ำกินซาก นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันมีหลักมีเกณฑ์ของมันเข้ามา มันก็เป็นเหมือนกัน นี่มันเสื่อมสภาพเหมือนกัน มันอยู่คงที่ไม่ได้ แต่ถ้ามันอยู่คงที่ได้นะมันต้องมีปัญญาของมันเข้ามา
ปัญญาเกิดจากสมาธิ ปัญญาอย่างนี้เป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เกิดจากความคิดของเรา ปัญญาที่ว่าใช้อย่างนี้มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากกิเลส ปัญญาเกิดจากพลังงานอันมีกิเลส แต่ถ้าจิตสงบเข้ามากิเลสมันสงบตัวลง นี่ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา มันก็เป็นปัญญาจากกิเลสเหมือนกัน กิเลสนี่แต่มันเป็นมรรค เป็นมรรคเพราะมันเป็นแง่บวก เห็นไหม เป็นแง่บวกขึ้นมา เพราะกิเลสมันยังมีอยู่ลบไม่ได้หรอก
โดยสามัญสำนึกคนเกิดมามีอวิชชา พลังงานนี้มีอวิชชาครอบงำอยู่ ความคิดมันมาจากอวิชชาทั้งหมด แต่ขณะที่เราทำความสงบเข้ามา อวิชชามันสงบตัวลง มันให้โอกาส เห็นไหม อรหัตตมรรค อรหัตตผล แม้แต่เป็นอรหัตตมรรค อรหัตตผล มันยังเป็นสิ่งที่สื่อความหมายได้ สิ่งที่เราชี้นำได้ สิ่งที่เราพิสูจน์ได้
อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันเป็นสมมุติอันหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่อธิบายได้อันหนึ่ง มันเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อันหนึ่ง แต่ขณะที่อรหัตตมรรค อรหัตตผล คลายตัวออกมาแล้วเป็นนิพพาน ๑ นิพพาน ๑ พ้นไปจากสมมุติบัญญัติทั้งหมดเลย พ้นทั้งหมด พอพ้นทั้งหมดไปเราจะสื่อความหมายกันว่าอย่างไร? ก็สื่อความหมายว่ามันเป็นธรรมธาตุ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่อันหนึ่ง
แล้วถ้าสิ่งที่มีอยู่อันหนึ่ง ถ้าเป็นคนตาบอด สิ่งที่มีอันหนึ่ง ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกก็ว่าไว้นิพพานเป็นอย่างนั้น แล้วก็มาวิพากษ์วิจารณ์กันว่านิพพานเป็นอย่างนั้น สภาวะเป็นอย่างนั้น เห็นไหม นี่สิ่งนี้มันเป็นสมมุติ มันก็เป็นอนิจจัง มันไม่เป็นความจริง เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันโดนกิเลสครอบงำไว้ สิ่งที่ครอบงำไว้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นความรู้ผิด ความรู้ผิดของใจ แต่ถ้าเป็นความรู้ถูกล่ะ?
คนมันลืมตา คนมีประสบการณ์การกระทำมา พูดร้อยหน พันหน แสนหน ล้านหน นี่ไม่มีวันผิด ไม่มีวันหมด ไม่มีวันจืดจาง เพราะอะไร? เพราะมันเป็นความจริง จะทำอย่างไรมันก็เป็นความจริง เพราะมันเป็นความจริงจากใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นจริงขึ้นมาซะอย่างหนึ่ง มันจริงของมันตลอดไป แล้วความจริงอันนี้มันคงที่ของมันอยู่อย่างนั้น มันอยู่กับโลกแล้วมันไม่ติดไปในโลกหรอก ไม่ติดในโลก กระแสของโลกก็ไม่สามารถเอาจิตดวงนี้ไปตามกำลังของมันได้ นี่เราอยู่กับโลกถึงไม่ติดโลก เห็นไหม
น้ำบนใบบัว น้ำบนบัวมันไม่ติดใบบัว มันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นน้ำก็จริงของน้ำ ใบบัวก็เป็นของใบบัวนะ มันสัมผัสกันอันหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างแยกกันไปเป็นธรรมดา นี่สิ่งที่เป็นไปอยู่อย่างนี้มันก็เป็นสภาวะธรรมดา สิ่งที่เป็นธรรมดานะ แต่ถ้าเราไปยึด เราไม่เข้าใจมัน เห็นไหม ใครคือเป็นคนโง่? จิตมันเป็นคนโง่เอง จิตนี้แสนโง่
ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติไปพอเห็นข้อเท็จจริงแล้ว ทำไมมันโง่อย่างนี้? ทำไมมันโง่อย่างนี้? แต่มันก็ต้องโง่อย่างนี้เป็นธรรมดา เพราะมันไม่รู้จริงหรอก มันไม่เห็นจริงหรอก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นโลกียปัญญา มันก็คิดของมันไปก่อน แล้วพอลึกเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันถึงว่าทำไมมันโง่อย่างนี้? มันสะเทือนใจมากนะ พอมันสะเทือนใจมันก็ปล่อย ปล่อย ปล่อยบ่อยครั้งเข้าเพราะมันฝึกฝน เห็นไหม ถึงที่สุดแล้วสมุจเฉทปหาน มันขาด มันขาดออกไปเลย กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันแยกออกเป็นธรรมดา สิ่งต่างๆ นี่กายกับจิตแยกออกจากกัน โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง สิ่งที่เป็นความพอใจ กามฉันทะนี่ทำลายมันออกไปแล้ว กามฉันทะเพราะพอใจมันถึงมีกามราคะ สิ่งที่ทำลายจนสะอาดบริสุทธิ์ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส นี่ตัวพลังงานเฉยๆ นี่แหละ ตัวสิ่งที่เป็นตอนี่แหละ
นี่ความรู้สึกคร่อมมันไว้ไง เรานั่งทับตัวเองไว้ แล้วเราไม่รู้จักว่าเรานั่งทับตัวเอง หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเพราะมันเป็นตัวเราเอง เรานั่งทับอยู่มันจะหาได้ที่ไหน? เราเอาเพชรไว้บนหน้าผากแล้วเราก็วิ่งหานะ เปิดไปเถอะในตู้เซฟเปิดแค่ไหนก็ไม่เห็นหรอก เพราะมันอยู่บนหน้าผาก ตามันก็มองไม่เห็น เพราะอะไร? เพราะตามันอยู่ต่ำกว่า
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เวลามันคร่อมตอไว้ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี่ แล้วจะเอาอะไรไปเห็นมัน? สิ่งที่เห็นมันนะ นี่สิ่งที่เห็นมันก็ต้องเป็นอรหัตตมรรค เป็นสิ่งที่เป็นสัจจะความจริง
นี่ทำอย่างนี้ถ้ามันย้อนกลับขึ้นมา เห็นไหม ขณะที่เราทำอยู่ ขณะที่เราใช้อยู่ อายุการใช้งานของวัตถุเขา อายุการใช้งานของชีวิต ถ้ามันยังทำไม่ถึงที่สุด อายุใช้งานของมันแต่ละภพแต่ละชาติ อายุการใช้งานบนพรหม อายุการใช้งานของเทวดา อายุการใช้งานของมนุษย์ อายุการใช้งานของสัตว์ เห็นไหม แมลงวัน สัตว์ต่างๆ อายุใช้งานของมันกี่วัน? นี่สิ่งนี้มันจะเวียนตายเวียนเกิดแล้วแต่เราได้สถานะใดมา
แต่ถ้ามันทำถึงจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้ข้ามพ้นกิเลส ไม่มีอายุใช้งาน ไม่มีสิ่งใดๆ เลย แต่มันมีของมันอยู่ เห็นไหม มันมีของมันอยู่ มันเป็นไปของมัน ไม่มีสิ่งใดๆ จะเข้าไปสัมผัสสิ่งนี้ได้เลย นี่มันถึงเป็นความจริงอันนี้ มันถึงว่าถ้ามีสิ่งนี้แล้วไม่ตื่นเต้นไปกับโลก มีปัญญา
โลกมันมีวิกฤติ วิกฤติต่างๆ นะ นี่ข้าวยากหมากแพง อุดมสมบูรณ์มันเป็นยุคเป็นคราว ฤดูกาลมันก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้มีศีลมีธรรมอยู่กับสังคมใด สิ่งนั้นร่มเย็นเป็นสุข ขณะที่ร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม แต่เราต้องแบกรับภาระสังคม แบกรับภาระสังคมหมายถึงสภาวะกรรม คนหมู่มาก คนดีก็มี คนทุกข์คนยากก็มี สิ่งนี้มันต้องเจือจานกันไป มันทอนกำลังอันนั้นไป
ถ้าสิ่งนี้มันทอนกำลังอันนี้ไป นี่เป็นเรื่องของโลกนะ เป็นเรื่องของพลังงาน เห็นไหม แต่เรื่องของใจไม่มีทอน ธรรมธาตุอันนั้นไม่มีทอน มันเป็นสัจจะความจริงของมันธรรมชาติอันนั้น นี่ถ้าทำสิ่งนี้ได้ปัญญาของเรามันจะมีจุดยืน ไม่ตื่นเต้นไปกับโลก ถึงวิกฤติอันหนึ่ง ขณะที่เกิดวิกฤติเขาต้องการคนกล้า คนกล้า คนมีจุดยืน มันจะพาสังคมไปในทางที่ถูกต้อง
สังคมนี่ กระแสสังคม เห็นไหม เหรียญมี ๒ ด้าน คนเห็นต่างกันโดยธรรมชาติของมัน สิ่งที่เห็นต่างกันโดยธรรมชาติ ถึงเวลาแล้วถ้าดวงตาเขาเปิดขึ้นมา เราให้ข้อมูลจนกว่าเขาตัดสินใจของเขาได้นะ เปลี่ยนแปลงได้ การแสดงธรรมนี่ก็เหมือนกัน การแสดงธรรมให้เข้าถึงหัวใจ ถ้าหัวใจเปลี่ยนแปลง หัวใจมันพลิกขึ้นมานะ คนนั้นเป็นคนดีขึ้นมา
สิ่งที่ดี นี่การกระทำทั้งหมดเกิดจากความคิด การพูด การแสดงกิริยาต่างๆ เกิดมาจากใจทั้งหมด ถ้าใจมันดีเสียอย่างหนึ่ง เห็นไหม การแสดงออกมามันเป็นจริตนิสัย บางคนจะสุภาพเรียบร้อย บางคนจะใช้ความรุนแรง แต่ความรุนแรงด้วยความสะอาดมันก็เป็นประโยชน์ ความสุภาพเรียบร้อยด้วยความสะอาดมันก็เป็นประโยชน์
ความสะอาดบริสุทธิ์ทุกคนต้องการ ดูเด็กๆ สิ มันไร้เดียงสามันดูน่ารักไปหมดแหละ เพราะมันไร้เดียงสา มันก็พูดตามความเป็นจริงของมัน แต่พอเราโตขึ้นมาเรามีมรรยาท เรามีสังคม เรามีต่างๆ การแสดงออกของเรา เราแสดงออกอย่างนั้นไม่ได้ มันถึงต้องตีความ ต้องทันโลก เราทันโลก เห็นไหม เราไม่เป็นเหยื่อของโลก
ทันโลกนะ เราอยู่กับโลกเราต้องมีที่ยืนในสังคม ถ้ามีที่ยืนในสังคมนะเราทำของเราไป เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเราสร้างคุณงามความดี โลกเป็นสมบัติของโลก ธรรมเป็นสมบัติของใจ ถ้าเราทำคือว่าเรามีจุดยืนในหัวใจของเรา เราจะไม่ทุกข์ร้อนจนเกินไปนัก โลกเขาจะทุกข์ร้อนขนาดไหน เขาตากแดด ตากฝน เราก็มีที่พักอาศัย นี่ถ้าทำสมาธิของใจ เรือนของใจไง มีบ้านหลังหนึ่ง เราก็มีที่หลบฝน หลบแดด จิตใจของเราถ้ามีจุดยืนของเรา เราก็มีที่หลบฝน หลบแดด
โลกก็เป็นโลก ธรรมก็เป็นธรรม แต่มันอยู่กับเรา เห็นไหม ความคิดดี ความคิดชั่ว มันก็อยู่กับเรา เราคิดเอง เราทำเอง เราเลือกเอง เรามีสติของเราเอง เราทำของเราเองนะ สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันอาศัยจากภายนอก แต่อาศัยจากภายใน จิตมันต้องมีที่อาศัย แล้วเราจะเป็นคนดีของเรา เป็นคนดีของเราเอง รู้สึกของเราเอง ครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ แล้วเราทำได้เป็นสมบัติของเรา เอวัง